เรามักจะมองคนอื่นในแง่ลบอยู่บ่อยครั้ง
จึงคิดว่าจะลองเขียนถึงผู้คนในแง่ดีดูบ้าง
บังเอิญหยิบหนังสือเล่มเก่ามาอ่าน
ชื่อหนังสือ มองโลกให้บวก แนวจิตวิทยา
อ่านไปก็แอบนึกสงสัยว่าเมื่อก่อนอ่านไปได้ไง
มันซ่อนความเป็นลบไว้ในรูปแบบการเขียน
คือมีการแบ่งแยกออกเป็นคน 2 ประเภท
ถึงจะรู้สึกขัดใจแต่ก็พยายามอ่านไปเรื่อยๆ ชิวๆ
เหมือนนั่งฟังคนที่ดูภูมิฐานนั่งบ่นไปเรื่อยๆ
ยังไงซะเราก็ชอบเสพตัวหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ
แค่อ่านไปสักนิดก็ไม่ได้เสียเวลาเสียอะไรไปนัก
เมื่อก่อนเราชอบหนังสือแนวพัฒนาตัวเอง
มักจะให้แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เห็นผล
อาจจะเป็นเพราะเราเชื่อคนง่าย เลยค่อนข้างดี
อ่านไปแล้วก็เอามาปรับใช้ได้ไม่ยาก ใช้ได้ทันที
ส่วนมากก็แนวฝึกวิธีคิดแบบต่างๆ
รวมไปถึงเรื่องกฏแรงดึงดูด หรือทำ 20 ได้ 80
โดยมากแล้วจะมีหลักการคล้ายๆ กันจนพอจับได้
ซึ่งบางคนไม่ชอบ ไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่
แต่ถ้าเชื่ออย่างสุดใจก็ทำได้ เห็นผลได้ไม่ยาก
คล้ายๆ กับที่ปฏิบัติตามคำสอนศาสนานั้นแหละ
แต่หนังสือพวกนี้ใช้กอบโกยความสำเร็จโดยมาก
อาจจะเป็นความสำเร็จเพียงเล็กๆ น้อยๆ ก็เถอะ
แต่มีผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลง
หลักๆ คือ ได้รู้จักวิธีคิดเพิ่มขึ้น ขยายกรอบคิด
ได้รู้จักปรับมุมมองให้เอื้อประโยชน์ได้มากขึ้น
ข้อเสียก็มีอยู่คือ ไม่ได้สอนให้ยอมรับความจริง
เราพลาดตรงที่คิดว่าความสุข ความสำเร็จ
ทุกสิ่งที่ดีงาม คือทั้งหมดของชีวิต
ใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง ละเลยความทุกข์
ช่วงเวลานี้จึงจำเป็นต้องเรียนรู้อยู่กับมัน
เริ่มหันมาศึกษาศาสนาพุทธหลังจากนั้น
เขียนมาซะยาวยืด แต่ข้ามจุดประสงค์แรกไป
เอาเป็นว่าเรามักหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงคนอื่น
เพราะไม่ชอบการตัดสิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเองทำ
คือตัดสินคนอื่นแบบเพียงผิวเผินในทันที
บางครั้งเรื่องความประทับใจแรกก็สำคัญ
แต่ในระยะยาวคือทัศนคติต่างหากที่สำคัญ
เรามักจะเกรงใจคนอื่น แม้แต่เพื่อน
ความเกรงใจคือ ทั้งเคารพและกลัวไปพร้อมกัน
มันคล้ายจะเป็นแบบนั้น เท่าที่เรารู้สึก
เรามองผู้หญิงทุกคนเหมือนแม่
มองผู้ชายทุกคนเหมือนพ่อ
และเราก็ไม่ผูกพันธ์กับพ่อแม่สักเท่าไหร่
เพราะเราจำอะไรไม่ค่อยได้เรื่องพวกท่าน
แต่ถึงเราจะเปลี่ยนแปลงสายสัมพันธ์ไม่ได้
เราไม่อาจให้มันแนบแน่นและยาวนานไปตลอด
ที่ได้คือ ทัศนคติที่มีต่อสายสัมพันธ์เปลี่ยนได้
เมื่อไหร่ที่เปลี่ยน ก็ส่งผลต่อชีวิตโดยรวมไปด้วย
มีข่าวการประท้วงที่นายทรัมป์ได้เป็นปธน.us
ตอนแรกเราก็มองว่าอเมริกาล่มจมแน่ที่ได้ท.
ถึงจะเป็นนักธุรกิจอสังหาฯรวยล้นฟ้า
แต่การบริหารประเทศยิ่งใหญ่จะทำได้ดีเหรอ?
เราก็แอบสาด Anxiety Effect ใส่ด้วยงั้นเหรอ
ส่วนมากแล้วผู้นำอเมริกาจะดูน่าเชื่อถือกว่านี้
ฮิลลารี่ดูน่าไว้วางใจกว่าอีก แต่อะไรบางอย่าง
ก็ทำให้คะแนนเสียงมาเทที่นายทรัมป์ผิดคาด
เราแอบคิดว่าถึงคราวหายนะของอเมริกาละมั้ง
แต่ดันมาเจอชื่อนายท.อยู่ในหนังสือที่เคยอ่าน
ชื่อหนังสือ มองโลกให้บวก Hard Optimize
ทำให้รู้สึกผิดเลยที่มองคนจากภายนอกไป
กลับกัน พอมานึกๆ ดูนายท.ก็ดูเป็นธรรมชาติ
มีแต่นางค.ที่สาดเรื่องต่ำๆ มาให้อยู่เสมอ
แทนที่จะใช้ความอ่อนโยนในฐานะสตรีเพศ
เพราะแบบนี้นางเลยพ่ายไปสินะ
เพราะคนอเมริกาเค้าอยากได้ผู้นำคิดบวก
แต่ยอมรับว่าอาจเป็นการคานอำนาจก็ได้
เพราะพรรคเก่าครองมาแปดปี นานพอสมควร
อเมริกากับการปรับเปลี่ยน น่าจะดูเข้าท่าอยู่
ตอนแรกแอบคิดว่านายท.จะแบ่งเงินให้คนus
เค้าเลยเทคะแนนมาให้แต่แบบนั้นก็ทุจจ้า
ที่นี้มีอีกคนที่ไม่รู้จักสักเท่าไหร่เหมือนกัน
และยังดื้อด้านจะพูดถึงคนแปลกหน้าไปถึงไหน
นายคนนี้ แม้แต่หน้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อน
ติดใจตอนที่พูดถึงเหตุฆ่าตัวตายสามครั้ง
ฟังดูดีไหมนะ ในใจแอบคิดว่า น้อยจัง
และแอบคิดว่า เจอคนป๊อดเหมือนกัน
เพราะแอบกลัวเลย ล้มเลิกกลางคัน
แต่ในครั้งสุดท้าย เค้าเลิกเพราะดูแมว
มันแบบว่า ใช่เลย เหมือนเราเลย
แต่ของเราคือ น่าจะช่วงแรกๆ ก่อนจะคิด
ช่วงนั้นเราทำทีสิสไม่ได้ คิดหัวข้อไม่ออก
ส่งหัวข้อเป็นคนสุดท้าย ไม่ได้ดั่งใจอีก
แล้วก็ขบคิดปัญหาโลกแตกที่แก้ไม่ได้
ซึ่งเป็นคำถามที่โง่ที่สุดที่ควรจะถาม
เราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดในทันที
หลายต่อหลายวันก็หมดไปกับการหาคำตอบ
สุดท้ายก็รู้ว่าไม่มีคำตอบจริงๆ เพราะคำถามผิด
เปลี่ยนมาตั้งว่าจะมีชีวิตได้อย่างไร? แทน
คำตอบของเราก็คือ ด้วยความรักที่มีต่อแมว
เราก็กลับมาจากโลกมืดด้วยประการทั้งปวง
แต่ยังไม่หายมืดซะทีเดียวหรอก
เพราะเราแสดงความรักไม่เป็น
บางทีก็คิดว่าอาจเป็นแบบเดียวกับค.เกลียด
ก็เลยไม่ค่อยชอบมันสักเท่าไหร่
สุดท้ายเราก็ทำตามจุดประสงค์แรกได้
แต่ก็ยังคาดหวังว่าจะต้องดีกว่านี้ในครั้งต่อไป
เมื่อไหร่ที่หยุดคาดหวัง..
ก็เหมือนจะไม่ต้องพยายามอะไร