บันทึกการอ่านที่โรงเรียนให้เด็กทำ
ยอมรับเถอะว่าเปล่าประโยชน์
นี่มันกี่รายแล้วที่มาหาเราเพื่อการนี้
จำได้แหละ ถ้าเป็นรุ่นเยาว์หน่อยก็สอง
รุ่นที่เริ่มโตเป็นวัยรุ่นอีกสองคน
แต่ละคนแบบว่าไม่มีใครเต็มใจอ่านเลย
ไม่ชอบการศึกษาแบบบังคับให้เกิดประโยชน์
การศึกษาเหรอ นี่มันยัดเยียดกันชัดๆ
ครูเองก็ดูจะรู้ว่าเด็กไม่เต็มใจจะทำ
ถึงกับยอมรับให้เด็กเขียนแบบนั่งเทียนมาส่งได้
เราชอบการศึกษาแบบโบราณมากกว่า
แบบที่พึ่งตำราและกฏเกณฑ์น้อยลง
แต่หันมาเอาใจใส่เด็กมากขึ้น
ไม่ใช่ประคบประหงมแต่เป็นการศึกษาผู้เรียน
เด็กแต่ละคนแตกต่างกัน
คนหนึ่งอาจเรียนรู้ได้จากสิ่งหนึ่ง
แต่อีกคนก็อาจเรียนได้จากอีกสิ่งหนึ่ง
เป็นเพราะมีคนมากจนล้นโลกเกินไปแท้ๆ
ถึงได้เฉลี่ยการศึกษาที่ลงตัวไม่ได้
นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่านะ
ต้องยอมรับในความไม่เท่าเทียมสินะ
บางทีนั่นก็อาจจะดีที่สุดแล้ว
เราไม่สามารถพูดอะไรได้มาก
เพราะเราไม่ได้มีหน้าที่ในการพูดถึงสิ่งนั้น
และเราไม่ได้อยู่ในส่วนสำคัญต่อสิ่งนั้น
ทำได้แค่มองและบ่นจากที่ไกลๆ
ไม่จำเป็นจะต้องคาดหวังอะไรมาก
แค่ว่าเรามองดูคนอื่นแล้วย้อนกลับมามองตัวเอง
ไม่ชอบถูกบังคับ ยิ่งบังคับ ยิ่งต่อต้านเท่านั้นเอง
และอาจเป็นแรงต้านที่มาจากใต้น้ำเหมือสึนามิ
มองดูเหมือนไม่กระทบ ดูเหมือนเหตุสงบดี
แต่ที่จริงมีปรากฏการณ์รุนแรงอยู่ข้างใต้
ยกตัวอย่างได้ค่อนข้างน่ากลัวดี
หรือจะเทียบกับภูเขาน้ำแข็งในไททานิค
คงไม่ได้ลากทฤษฎีบุคลิกภาพเข้ามาละนะ
ไม่ควรจะพาดพิงถึงอะไรเลยแท้ๆ
น่าจะเลิกอ่านหนังสือกันได้แล้ว
ยิ่งอ่าน ยิ่งมั่ว ลากอะไรเข้ามาพัวพันเยอะแยะ
การอ่านสะสมถ้อยคำที่ขัดแย้งกันเองมากมาย
บางทีคงต้องอ่านต่อไป
จนกว่าจะเจอแนวหนังสือที่ลงตัว
ละมั้ง
สงบนิ่ง ไว้อาลัยให้กับความคิด
ให้กับถ้อยคำ ประโยค
หนังสือ
ที่แทนที่จะสร้างกำลังที่เป็นประโยชน์
ที่แท้ก็เคว้งมาโดนหัวเรา