Monday, September 19, 2016

หนังสือ ที่แท้ก็เคว้งมาโดนหัวเรา

บันทึก​การอ่านที่โรงเรียนให้เด็กทำ
ยอมรับเถอะว่าเปล่าประโยชน์
นี่มันกี่รายแล้วที่มาหาเราเพื่อการนี้
จำได้แหละ ถ้าเป็นรุ่นเยาว์หน่อยก็สอง
รุ่นที่เริ่มโตเป็นวัยรุ่นอีกสองคน
แต่ละคนแบบว่าไม่มีใครเต็มใจอ่านเลย
ไม่ชอบการศึกษาแบบบังคับให้เกิดประโยชน์
การศึกษา​เหรอ นี่มันยัดเยียดกันชัดๆ
ครูเองก็ดูจะรู้ว่าเด็กไม่เต็มใจจะทำ
ถึงกับยอมรับให้เด็กเขียนแบบนั่งเทียนมาส่งได้
เราชอบการศึกษาแบบโบราณมากกว่า
แบบที่พึ่งตำราและกฏเกณฑ์น้อยลง
แต่หันมาเอาใจใส่เด็กมากขึ้น
ไม่ใช่ประคบประหงมแต่เป็นการศึกษาผู้เรียน
เด็กแต่ละคนแตกต่างกัน
คนหนึ่งอาจเรียนรู้ได้จากสิ่งหนึ่ง
แต่อีกคนก็อาจเรียนได้จากอีกสิ่งหนึ่ง
เป็น​เพราะมีคนมากจนล้นโลกเกินไปแท้ๆ
ถึงได้เฉลี่ยการศึกษาที่ลงตัวไม่ได้
นี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่านะ
ต้องยอมรับในความไม่เท่าเทียมสินะ
บางทีนั่นก็อาจจะดีที่สุดแล้ว

เราไม่สามารถพูดอะไรได้มาก
เพราะ​เราไม่ได้มีหน้าที่ในการพูดถึงสิ่งนั้น
และเราไม่ได้อยู่ในส่วนสำคัญต่อสิ่งนั้น
ทำได้​แค่มองและบ่นจากที่ไกลๆ
ไม่จำเป็น​จะต้องคาดหวังอะไรมาก

แค่ว่าเรามองดูคนอื่นแล้วย้อนกลับมามองตัวเอง
ไม่ชอบถูกบังคับ ยิ่งบังคับ ยิ่งต่อต้านเท่านั้นเอง
และอาจเป็นแรงต้านที่มาจากใต้น้ำเหมือสึนามิ
มองดูเหมือนไม่กระทบ ดูเหมือนเหตุสงบดี
แต่ที่จริงมีปรากฏการณ์รุนแรงอยู่ข้างใต้
ยกตัวอย่าง​ได้ค่อนข้างน่ากลัวดี
หรือจะเทียบกับภูเขาน้ำแข็งในไททานิค
คงไม่ได้ลากทฤษฎีบุคลิกภาพเข้ามาละนะ
ไม่ควรจะพาดพิงถึงอะไรเลยแท้ๆ
น่าจะเลิกอ่านหนังสือกันได้แล้ว
ยิ่งอ่าน ยิ่งมั่ว ลากอะไรเข้ามาพัวพันเยอะแยะ
การอ่านสะสมถ้อยคำที่ขัดแย้งกันเองมากมาย
บางทีคงต้องอ่านต่อไป
จนกว่าจะเจอแนวหนังสือที่ลงตัว
ละมั้ง

สงบนิ่ง ไว้อาลัยให้กับความคิด
ให้กับถ้อยคำ  ประโยค
หนังสือ

ที่แทนที่จะสร้างกำลังที่เป็นประโยชน์

ที่แท้ก็เคว้งมาโดนหัวเรา