เงินที่มีก็เอาไปซื้อกาแฟหมดเลย
เพราะงั้นต้องตัดใจจากการกินสิ่งอื่น
แต่ยิ่งห้ามใจก็ยิ่งอยากจะกินมากเข้าไปอีก
เลยต้องยัดกาแฟลงท้องให้อิ่มแปร้
วันนี้เลยกินไปสามกระป๋องเลย
ก่อนหน้านี้เพิ่งจะมีความตั้งใจที่จะงดกาแฟ
และยากจนขึ้นเรื่อยๆ จนต้องประหยัดงบ
และยังปวดแสบท้องทุกเช้ามาสักพักหนึ่ง
บางทีก็ปวดมาก แต่หาข้าวกิน ก็เริ่มดีขึ้น
แต่ถ้าเครียดจะยิ่งปวด และกลืนอาหารไม่ลง
พยายามที่จะเครียดให้น้อยลง
เพราะปกติก็ไม่ใช่คนเครียดๆ อยู่แล้ว
ไม่เคยปวดท้องจากการเครียดมาก่อนด้วย
นอนกลางวันก็ไม่ได้แล้วด้วย
ตอนกลางคืนหรือเช้ามืดบางทีก็ตื่นขึ้นมา
เพราะระบบหายใจไม่ค่อยดีอยู่แล้ว
กาแฟก็ช่วยให้ง่วงตอนกลางวันน้อยลง
แต่พอหมดฤทธิ์ก็ปวดหัวและเหมือนจะเครียดๆ
เครียดแบบเหมือนเป็นโรคประสาท
ประมาณกระสับกระส่าย หงุดหงิดง่าย
ยิ่งเจอคนป่วยดื้อๆ ยิ่งหงุดหงิด
แทนจะได้ทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่
กับต้องมาหงุดหงิดด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ยอมรับว่าการดูคนแก่ป่วยมันหนักและไม่ชิน
ก่อนหน้านี้เราเป็นฝ่ายถูกดูแลมาโดยตลอด
ถึงจะเป็นการดูแลกึ่งๆ ออกคำสั่งมากก็เถอะ
มันยากที่จะสลับหน้าที่กันได้ในทันที
และเราก็ไม่สามารถออกคำสั่งได้แบบนั้น
ที่ผ่านมา เรารู้ดีว่าวิธีการของเรามันแตกต่าง
ความแตกต่างที่มากเกินไปจนน่าปวดใจ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะยอมรับหรือทำให้ใคร
มายอมรับในความแตกต่างที่ตัวเองไม่เห็นด้วย
บางทีก็อยากหาอะไรเพลินๆ ทำฆ่าเวลาให้ลืมไป
พอลืมไปซะสนิทก็พลาด ไม่ได้แก้สาเหตุที่แท้
เพราะเราดูเป็นคนไม่เครียดด้วย
บางครั้งตัวตนของเราก็จืดจางเกินไป
เพราะไม่มีใครมองเห็นความเครียดนั้น
แต่นั่นเป็นวิธีการที่เราถนัดที่สุด
ที่จะไม่เครียด
เพราะไม่ชอบฟังเสียงถอนหายใจ
ไม่ชอบคำพูดที่เต็มไปด้วยอารมณ์
ไม่ชอบ
ไม่ชอบ
เท่านั้นเอง
เรื่องที่น่าเครียดก็คือ ไม่ชอบเครียด
เท่านั้นเอง
ขอโทษที่ชอบขัดใจด้วยเหตุผลแบบนี้
คิดมากแล้วปวดหัวจะตาย
หาอะไรทำให้ความคิดที่ไร้สาระหายไป
ถ้ามันสำคัญจริง เราจะก็ได้รับผลในไม่ช้า
หรืออาจจะช้า แต่หนักหน่อย หึๆ
วิธีนี้เป็นวิธีจัดการความเครียดของเราอย่างหนึ่ง
ข้อสำคัญก็คือ ประเมินความเครียด
เอ๊ะ หรือเปล่านะ จำหลักไม่ได้ซะแระ
เหมือนกับว่าแค่ทำให้ใจเย็นลงมากกว่า
แต่เวลาเครียด..
มันมีสถานการณ์ที่ต่างออกไปมาก
อย่างถ้าเครียดในเรื่องที่เราไม่สามารถจัดการได้
แบบนั้นไร้สาระสุดๆ ก็ทำอะไรไม่ได้นี่หน่า
ยิ่งฝืนทำไปจะยิ่งสร้างปัญหาเพิ่ม
ควรที่จะถอนตัวออกมามองภาพรวมให้ได้
แล้วจะเจอจุดที่เราสามารถจัดการได้เอง
ข้อสำคัญที่สำคัญกว่านั้นคือ
หาแหล่งอ้างอิงเพื่อสนับสนุนความเชื่อ
และไม่ลืมตรวจสอบความเหมาะสมของแนวคิด
ถึงแบบนั้นจะเพิ่มความเห็นแก่ตัว
แต่ก็จำเป็นจะต้องเห็นตัวเอง
ถึงจะเห็นคนอื่นได้
ถ้ายืนยันที่จะมีชีวิตแบบไหน
ก็ต้องมั่นใจว่าจะมีชีวิตแบบนั้น
ถึงความถูกต้อง หรือข้อเท็จจริงต่างๆ
จะผันเปลี่ยนไปได้ ตามการค้นพบใหม่ๆ
ก็ต้องมั่นใจว่าใช้ชีวิตสอดคล้องไปกับมัน
ทั้งเป้าหมาย สิ่งรอบตัว และข้อเท็จจริง
ก็คงจะต้องแบบนั้นละนะ
ยังไม่จบสินะ ข้อเท็จจริงที่เราค้นพบขึ้นอีกอย่าง
ที่จริงมันมีมาเรื่อย บางทีก็ขี้เกียจพิมพ์
ข้อหนึ่งนี้คือ
เวลาเจอปัญหา เรามักจะสตั้นนานไปหน่อย
ทั้งที่เพิ่งเริ่มค้นพบจุดบกพร่องนั้นๆ
แต่จะไม่เข้าไปคลุกคลีทันที
มักเลือกที่จะถอยห่างออกมา
บางทีเหมือนจะนานเกินไปจนลืม
แต่พอมีความเชื่อมั่น ทำใจได้ในระยะหนึ่ง
และเริ่มลงมือสืบสาวสาเหตุและหาทางแก้
มันก็สำเร็จได้ในไม่ช้านาน เท่านั้นเอง
แค่มีความเชื่อมั่นก็เริ่มต้นแก้ไขปัญหาได้
ถ้าไม่มีทีไร เหมือนจะฟ่อๆ แฟ่บๆ จะหายไป
ถึงอย่างนั้นก็อันตราย ถ้าเชื่ออะไรผิดๆ ไป
เพราะงั้นสำหรับเราเลยต้องทบทวนความคิด
ถ้าไม่มั่นใจก็ทำอะไรไม่ได้
คงจะประมาณนั้นแหละ
ยังๆ ยังไม่จบสินะ
ในยามที่เราขี้เกียจนั้นบางทีก็อาจมีประโยชน์
หนึ่งคือ เพื่อพักเติมพลังเหมือนการนอนหลับ
สองคือ เราอาจจะกำลังใช้งานสมองอยู่
เพราะเวลาบอกว่าขี้เกียจ มักจะมีอะไรค้างอยู่
การหยุดเพื่อจดจ่ออะไรบางอย่าง
อาจจะจำเป็นต่อการข้ามผ่านบางสถานการณ์
เราไม่ได้ขี้เกียจได้อย่างแท้จริง
นอกจากเราจะหยุดหายใจได้ชั่วขณะหนึ่ง
ความเครียดกับความขี้เกียจ
เหมือนจะเป็นคู่ตรงข้ามที่ไม่น่าอภิรมย์
แต่บางสถานการณ์ก็ต้องเครียด
บางสถานการณ์ก็ต้องขี้เกียจ
มันแค่ต้องรักษาระยะทางที่เหมาะสม
เครียดถึงลิมิตหนึ่ง จะทำงานสำเร็จ
ขี้เกียจในระดับหนึ่ง จะช่วยแก้ปัญหา