ปกติแล้วก็มักจะมีคำถามอะไรและพยายามที่จะตอบมันให้ได้
การเขียนไปเรื่อยๆ ก็ออกจะน่าเบื่อ แต่ก็ได้ฝึกสมาธิขั้นแรกๆ ได้บ้าง
ฝึกให้จดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ อยู่กับถ้อยคำ ข้อความ ประโยค เรื่องราว
เพราะเคยได้เรียนรู้มาว่า สมาธิเกิดปัญญาก็เกิดตามมาด้วย และมักจะคู่กัน
เมื่อเกิดปัญญา ก็สามารถฝึกสมาธิได้ดียิ่งขึ้นไปอีก จำเป็นทั้งสองอย่าง
การฝึกปฏิบัติตามแนวทางพุทธก็ไม่ต่างอะไรกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์
บางทีก็สนุกตื่นเต้น บางทีก็น่าเบื่อสุดๆ แต่มักจะได้ข้อสรุปหรือหลักการเสมอ
บางครั้งก็เรียกว่าเป็นความรู้ เป็นความจริง หรืออะไรก็ตาม ตามแต่ศาสตร์นั้นๆ
ได้อ่านหนังสือเรื่อง "เป็น - เรียงความว่าด้วยลมหายใจในตัวหนังสือ"
แต่ก็ยังไม่จบหรอก ตามประสาคนขี้เกียจและสมาธิไม่ยืนยาวววว..วว
ข้อสำคัญของงานเขียนคือ การสื่อสารกับคนอ่าน อันนี้สำคัญที่สุด
ก็จริงนะ หลายครั้งที่เรารู้สึกว่า ทำไม่ได้ เพราะนึกภาพคนอ่านไม่ออก
ด้วยว่าเรามองไม่ค่อยจะเห็นคนอื่นเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
นั่งมองผู้คนมากมาย แต่กลับนึกสงสัยการมีอยู่ของคนเหล่านั้นอยู่ตลอด
ความคิดแบบนี้ ความเชื่อแบบนี้ ไม่ค่อยดีนัก ไม่ดีต่อสังคม ไม่ดีต่อคนอื่น
คนเราควรมีขอบเขตในการคิดจริงๆ หรือเปล่า? บางทีก็สงสัยนะ
แต่พอไม่มีขอบเขต นึกจะคิดอะไรก็ได้ไปเรื่อย มันก็จะมาแบบ...
ผสมปนเป จะว่าเป็นศิลปะไหม ก็บอกยาก มันอาจจะเละเทะเกินไปด้วยซ้ำ
ศิลปะควรมีขอบเขตไหม? มันก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันทุกวันนี้ไม่ใช่เหรอ?
เพราะว่ามีวัฒนธรรม เพราะมีสังคม ถึงต้องมีการ(ถก)เถียงไม่สิ้นสุดเหรอ
จะว่ายังไงล่ะ การโต้แย้งด้วยเหตุผลเหรอ? มันสมควรจริงๆ เหรอ?
คนเราควรมีความยืดหยุ่นหรือเปล่า? ควรแสดงอารมณ์ออกมาในระดับไหน?
จะว่าไป "การสื่อสาร.." ทั้งการพูดคุย การเขียน การอ่าน การฟัง ฯลฯ
มันสำคัญที่มี "ผู้ส่ง-สาร-การเชื่อมต่อ-ผู้รับ" บางทีอาจมีตัวกลางมากมาย
ทุกวันนี้ที่มันผิดพลาดก็เพราะอะไร? เพราะมีตัวกลางมากไปละมั้ง ไปไม่ถึง..
ไปไกลเกิน เข้าใจผิดพลาดคาดเคลื่อน นำมาซึ่งความขัดแย้ง ข้อพิพาท
น่าเหนื่อยใจกับการที่มีช่องทางกว้างเกินไป กว้างจนกลืนกินโลกได้
บ่นพร่ำเพ้ออยู่ในนี้ ก็เหมือนส่งคลื่นเสียงรบกวนกระจายออกไป
ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบ
แม้แต่การมีชีวิตยังหายใจแย่งชิงออกซิเจนซึ่งกันและกัน
หรือจะตายไปก็ยังปล่อยก๊าซของเสียทิ้งไว้ในผืนโลกใบนี้
ไม่ว่าจะทำอะไรก็มีแต่จะสร้างความเสียหายกับทุกสิ่งทุกอย่าง
แน่นอนว่าความคิดดังกล่าวก็ย่อมเป็นมลพิษต่อสมองและจิตใต้สำนึก
แม้บางทีก็อาจเป็นไอเดียที่จิตใต้สำนึกเปิดเผยข้อมูลเหล่านี้ขึ้นมา
ข้อมูลภายใต้การรับรู้ที่รวนเรของมนุษย์นั้นยังคงถูกบันทึกไว้เสมอมา
และบางครั้งการกระทำที่ไร้เหตุผลก็ออกมาจากการสั่งของจิตใต้สำนึกนั้น
การบงการจิตใต้สำนึกไม่ได้ทำได้โดยตรง แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ที่ยาก เพราะมันคือ การปลดล็อคศักยภาพแต่เดิมที่มนุษย์เคยมี(มากกว่านี้)
อีกนัยหนึ่งคือ การปลดปล่อยพลังที่จำเป็นต้องได้รับการควบคุมอย่างเหมาะสม
เขียนไปเขียนมาก็เริ่มแฟนตาซีขึ้นเรื่อยๆ สงสัยจะเกิดอาการหลงผิด
แน่นอนว่า การมีความคิดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง(ในค่านิยมปัจจุบัน)
ย่อมทำให้ไม่สามารถเรียกได้เต็มปากว่า ปกติ อาจถูกหาว่าบ้าได้ง่าย
เพราะคนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับความแตกต่าง ไม่ยอมเปลี่ยนความเชื่อเดิมที่มี
"ต้องพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้เท่านั้น ต้องได้รับการยอมรับจากคนหมู่มากก่อน"
เพราะความจริงถูกจำกัดเอาไว้ด้วยข้ออ้างเหล่านั้น อะไรๆ ก็เลยไม่ค่อยมีความหมาย
ต้องเห็นเป็นตัวเลขเหรอ? ต้องมีคนฟอลโล่วเป็นหลักแสนก่อนเหรอ?
ยิ่งเขียนก็ยิ่งเกลียดตัวเอง รู้เลยว่าทำไมถึงได้เกลียดตัวเอง เพราะเขียนนี่เอง
เกลียดความคิด เกลียดสิ่งที่แสดงออกมาจากความคิดแบบโง่ๆ แบบนี้
ยิ่งเกลียดก็ยิ่งไม่ยอมรับ เพราะไม่ยอมรับตัวเอง ก็เลยไม่ได้เรื่องได้ราวสักที
ทำไมความคิดถึงได้สะเปะสะปะ เหมือนจับทุกอย่างมายัดรวมกันแบบจับฉ่าย
หรือว่ามันปกตินะ บางทีอาจต้องโฟกัสไปที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งก่อน แค่ตอนนี้ไม่ได้ทำ