แต่เป็นโอกาสดีที่จะได้แตะหนังสือมากขึ้น
หนังสือมันมีลมหายใจด้วย รู้สึกสดชื่นเบิกบานกว่า
รู้สึกได้สูดอากาศแบบสโลว์ไลฟ์จริงๆ เติมพลังๆ
ตัวหนังสือก็เติมพลัง ต้นไม้ สายลม เสียงนกร้องก็ช่วย
ตัวหนังสือมันทำให้เรามีความสุขได้จริงๆ ด้วย ณ วินาทีนี้
เสียงเพลงทำให้หูมีความสุขอย่างไร ตัวหนังสือก็ทำให้ตาได้เช่นกัน
แต่อ่านหนังสือแบบออกเสียง อ่านกลอนอะไร มันก็เหมือนร้องเพลงในใจ
อ่านแนวความคิดก็เหมือนมีเพื่อนคุย อ่านนิยายก็เห็นภาพน่าติดตาม
เข้าใจแล้วว่าเมื่อก่อนทำไมถึงได้ชอบอ่านหนังสือ
ตั้งแต่เป็นโรคหลุมดำเนี่ย เผลอลืมอะไรไปเยอะแยะเลย
รู้สึกเหมือนชีวิตไม่ค่อยจะเป็นชีวิตสักเท่าไหร่
พยายามหัวเราะมีความสุข แต่อีกเดี๋ยวก็ร้องไห้ นี่มันอะไร
ภายในวันหนึ่งๆ เกิดอารมณ์ที่ต่างอย่างสุดขั้วได้เสมอๆ
ถ้าเป็นสมัยโบราณก็ว่า ผีเข้าผีออก ปัจจุบันกลายเป็นไบโพล่าร์ไป
แต่เอาจริงแล้ว ไบโพลาร์มันต้องมีช่วงผีเข้า(เมเนีย) คน(ปกติ) ผีออก(เศร้า)
แล้วอารมณ์มันเป็นช่วงๆ ส่วนมากเปลี่ยนเป็นสัปดาห์หรือเดือนๆ
(ก็ว่าไปงั้นแหละ ไม่ได้รู้ลึกอะไรมาก แค่สงสัยว่าเป็นไหม ก็เลยศึกษาดู)
ช่วงผีเข้า มันจะรู้สึกมีพละพลังมหาศาลแบกบ้านหนีได้เลยทีเดียว
แถมยังอวดรู้ อวดภูมิ เชื่อมั่นในตัวเอง พราวด์ทูพรีเซ้น สุดๆ
ช่วงผีออก ก็หดหู่ ห่อเหี่ยว แห้งแล้ง เหมือนผีตายซาก โคตรต่าง
ว่าแต่กำลังเขียนถึงตัวหนังสืออยู่ดีๆ มาโผล่หลุมไหน มีผีตายซากอีก
ตอนนี้สนใจอยู่เรื่องหนึ่ง ทำยังไงให้รักตัวเองดี? มันจะต้องดีแน่ๆ
ความรักเหรอ คงเป็นอะไรที่ตรงข้ามกับความเกลียดสินะ มันคงดีกว่า
ตัวเองนั้น.. เป็นใครกันเหรอ?? อันนี้ถามจริงนะ เพราะมึนอยู่ตลอดเลย
เข้าใจว่า การรู้จักตัวเองเป็นสิ่งที่ท้าทาย น่าสนุกและทำได้ตลอดชีวิต
เชื่อว่า คนเราจะมีความสุขได้ ก็ต่อเมื่อรู้ว่า อะไรทำให้ตัวเองเป็นสุข
คนเราจะพอใจกับชีวิตได้ เมื่อทำตามแผนชีวิตที่ตัวเองกำหนดได้
วันนี้ตอนไปหาหมอ โชคดีที่เอาหนังสือติดกระเป๋าไปด้วย ไม่งั้นแย่
หนังสือชื่อเป็น ที่อ่านแล้วรู้สึกไปไม่เป็น (ฮาปะเนี่ย) เอาน่า เป็นก็เป็นวะ
ชอบช่วงแรกๆ (คือยังอ่านไม่จบอยู่ดี ขนาดเล่มเล็กมาก) ที่เขียนทำนองนี้
ถ้าการรักใครสักคนคือการให้อิสระกับคนๆ นั้น การรักในตัวหนังสือก็คือ..
ปล่อยให้มันเป็นอิสระ (ความอิสระ ใครล่ะจะไม่ชอบ ฟังแล้ว มันดูดีมาก)
ทำยังไงให้การเขียนเป็นอิสระเหรอ? ก็คงเปิดกรอบความคิดให้กว้างออก
คิดว่าผู้เขียนคงตั้งใจจะสื่ออย่างนั้นนะ แอบมีบางประเด็นที่อ่านไปหงุดหงิดไป
หลายครั้งที่พอเป็นหนังสือแนวคิด มันก็คืออาการบ่นของผู้เขียนทั้งนั้น
อ่านๆ ไปจะเหมือนมีคนมานั่งบ่นอยู่ในหัวเรา หึหึ แต่ก็เพลินๆ ดี
เหมือนเก็บกดจริงๆ นะ ไม่ได้เขียนมาเดือนหนึ่ง (หมายถึงข้ามเดือนแล้ว)
อยากเขียนเยอะๆ อยากเขียนมากๆ เลย เป็นคนที่มีเรื่องเยอะ เรื่องมาก
หรือที่จริงก็ชอบหาเรื่องอะแหละ จะว่าเก็บกดก็ได้นะ เพราะเก็บมันทุกเรื่อง
การเขียนมันสนุกตรงที่ให้เราได้เปิดลิ้นชักของเรื่องนู้นเรื่องนี้ออกมาได้เสมอๆ
เราเป็นคนที่ปกติแล้วจะดูมึนๆ งงๆ แต่พอได้เขียนรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลย
ทั้งการอ่าน-เขียน มันช่วยต่อลมหายใจของคนๆ หนึ่งได้จริงๆ เลย
แต่ยอมรับว่า ความเศร้า ผีออก วิญญาณหลุด หลุมดำ อะไรก็ตาม
มันทำให้โลกไม่มีสีสันเลย ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากให้อะไรมันเข้ามา
ยังดีที่พอมีสติ รู้ตัว ถ้าหมั่นทำความรู้สึกตัวบ่อยๆ มันช่วยให้ไม่มืดบอดนัก
ข้อเสียของการให้อิสระกับความคิดมากไป คือมันจะเต็มที่ไปหน่อย
ถ้าคิดดี มันก็ลากเอาหมู่เหล่าบัวบานบริสุทธิ์เบิกบานมาทั้งขบวน
ถ้าคิดไม่ดี มันก็ลากเอาความชั่วร้ายของแทบทั้งโลกมาไว้ในหัวได้
เพราะงั้น หลักปฏิบัติในทางพุทธถึงได้เน้นเรื่อง มโนกรรม ให้คิดดี
เหนือกว่าคิดดีคือ ให้ตัดขาดจากความคิด ทำใจให้บริสุทธิ์ แบบจิตว่าง
เมื่อก่อนก็สงสัยว่า จิตจะว่าง จะหยุดคิดได้จริงๆ เหรอ ซึ่งก็ได้ในบางขณะเนอะ
ถ้าว่างตลอดก็...หุ่นยนต์ละมั้ง แต่ต้องป้อนโปรแกรมคำสั่งควบคุมให้ทำไรด้วย
สะเทือนใจกับชื่อโพสต์มากเลย กำลังคิดว่า จะตั้งอะไรอิสระๆ ดี
โอย มันดูเป็นตัวเองมากไปหรือเปล่า ยิ่งมีคนชมอยู่เยอะแยะ
https://youtu.be/9fdizfeBzAE เพลงไม่เกี่ยวเนอะ แค่ชอบ