การนั่งคิดนั่งเขียนเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะสรุปอะไรได้
เราจะต้องศึกษา ต้องค้นหาความจริงของโลกที่เป็นไป
จิตใจที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ จะช่วยชำระความไม่บริสุทธิ์ข้างใน
เพราะการศึกษาคือการแทนที่ความไม่รู้ด้วยความรู้
หากเป้าหมายในชีวิตคือ การเอาตัวรอดและเป็นสุข
การศึกษาก็คือ วิธีการที่เราจะมีชีวิตอยู่นั่นเอง
ที่จริง การรู้เห็นอะไรมาก ก็อาจเป็นปัญหาที่ยุ่งยากขึ้นได้
นั่นคือ ไม่รู้วิธีจัดการกับความรู้หรือข้อเท็จจริงใดใดก็ตาม
บางอย่างรู้มาไว้เพิ่มความทุกข์ บางอย่างรู้มาเพิ่มความสุข
จะว่าเป็นทั้งข่าวดีและข่าวร้ายที่เราได้รับรู้มาในแต่ละวันก็ได้
ข้อสำคัญคือ เราควรโฟกัสไปที่ความจำเป็นที่ต้องรู้มากกว่าความอยากรู้
ทุกวันนี้ เราอาจจะใช้ชีวิตจนกลมกลืนไปกับสังคมที่กระตุ้นให้อยากรู้
ข่าวสารและข้อมูลมีลักษณะที่รุนแรงแต่ฉาบฉวย ไม่ใช่สาระที่น่ารู้
ถ้าปล่อยตัวไปตามสังคม เราก็จะเป็นเพียงคนกระจายข่าวเท็จต่อๆไป
การซึมซับแต่อารมณ์ซึ่งเป็นสารแฝงนั้น อาจไร้ความหมายไปโดยสิ้นเชิง
ไม่ต่างไปจากการเลือกอ่านแต่เรื่องสนุก ถ้ามีสาระแต่ไม่สนุกก็ไม่อ่าน
เป้าหมายในชีวิต.. พูดด้วยคำนี้แล้วก็รู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่เกินไปจนตัวเราหดเล็กลง
อาจจะเป็นคนที่ใช้ภาษาได้เกินจริงอยู่สักหน่อย แต่ก็รักที่จะใช้ภาษาอยู่นะ
และก็รักในความรู้ ความรู้ หรือสิ่งที่เป็นจริง คือสิ่งที่บริสุทธิ์ ปราศจากการบิดเบือน
เพราะมีความรักในความจริง ก็เลยทำให้ชอบแสวงหาความจริง รวมถึงข้อเท็จจริง
จะว่าเป็นความอยาก เป็นกิเลสก็ไม่ผิดหรอก เป้าหมายก็คือความอยาก
ทุกคนเริ่มต้นมีชีวิตอยู่ด้วยความอยากกันทั้งนั้น ถ้าไม่มีนั่นล่ะ จะไม่รอด
ถึงจุดเริ่มต้นจะมาจากกิเลสและความอยากทั้งหลาย แต่เราก็ต้องรู้วิธีจัดการ
สิ่งสำคัญคือ ความรู้ ถ้ารู้ว่าเราอยากอะไร ก็จะโฟกัสไปถูกทิศ ไม่หลงทาง
ถ้าใช้ชีวิตไปด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองอยากอะไร ก็สะเปะสะปะไปเรื่อย
เพราะงั้นถึงต้องกำหนดเป้าหมายชีวิตกันก่อน บางคนก็เรียกว่าเป็นแผนที่ชีวิต
ส่วนวิธีการดำเนินไปถึงเป้าหมายชีวิต บางคนก็เรียกเป็นว่าเข็มทิศชีวิต
อ่านทวนแล้วก็ออกจะเหมือนพระเทศน์หน่อยๆแฮะ ก็ไม่แปลกหรอก
เพราะเราเรียนทางด้านศาสนามา และก็พอใจในความรู้ที่ได้รับมานี้
สำคัญเลยก็คือ ความรู้ด้านนี้ช่วยให้เอาตัวรอดและเป็นสุขได้ง่ายขึ้น
ปล. อาจจะเขียนเป็นนามธรรม(ค่อนไปทางปรัชญา)มากไปหน่อย
บางอย่างก็อาจจะอธิบายได้ไม่ครบถ้วนนัก เลือกมาแต่ประโยคที่สำคัญน่ะ