เมื่อห้าปีก่อนเป็นครั้งแรกที่เราไปพบจิตแพทย์
ตอนนั้นเรายังไม่เครียดขนาดนี้เลย
แต่อาจจะมีปัญหาสุขภาพกายบ่อยๆ
เป็นภูมิแพ้ หวัด ไอ หอบ ไม่มากไม่มายอะไร
แต่ยายมักจะบ่นให้ไป ก็เลยต้องไปรักษา
ก็ไม่ได้ไปโรงบาลอะไร ไปแค่ศูนย์อนามัยใกล้บ้าน
เอายามากิน หาย แล้วกลับมาเป็นใหม่ = ปกติ
จะมีก็ตอนเรียนโยคะ ไม่ค่อยป่วย สุขภาพดีมากๆ
ก็เลยชอบโยคะ ตั้งใจเรียนที่สุด แต่ยังฝึกไม่บ่อย
กลับมาบ้านก็อาย ไม่ค่อยฝึกที่บ้านสักเท่าไหร่
บวกกับที่บ้าน คนเยอะ เสียงดัง ไม่ค่อยมีสมาธิ
เราเคยใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างว่าทำรายงานไม่ได้
อจ.ที่ปรึกษาเคยโทรมาแล้วบอกว่าเสียงดังจริง
ตอนนั้นน้ารับสอนพิเศษด้วย เด็กมาเล่นวุ่นวาย
บางทีก็นึกย้อนอดีตนานไปไหม ชัดเจนดีมากเลย
สมัยนั้นก็จะชอบทำแบบทดสอบในเน็ตเล่นๆ
ช่วงนั้นโรคซึมเศร้าเพิ่งเป็นที่รู้จัก แบบช่วงแรกๆเลย
แล้วฟังบ่อยๆ อาการก็เริ่มตรงเลยลองทำแบบทดสอบ
ประเมินได้ให้ไปพบหมออะไรทำนองนี้
แล้วพอดีว่ามันต้องทำรายงานแต่แสบตามาก
ร้องไห้จนแสบตา มองคอมก็ไม่ค่อยได้
เวลาร้องมากๆ ก็เป็นหวัด ไอ ไม่สบายตามมา
แล้วที่ศูนย์อนามัยที่รักษาอยู่ มีคลินิกสุขภาพจิต
แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรยังไง
ตอนเข้าไปรักษาตามปกติก็เลยขอตรวจสุขภาพจิต
หมอก็ถามว่าใช้สมัครงานเหรอ
อ้ะแต่เราบอกเราแสบตาเพราะร้องไห้
มันคงเป็นเหตุผลแปลกๆ พิลึกเนอะ
พอดีมาตรงช่วงรักษาก็เลยได้พบหมอจิตด้วย
ก่อนพบหมอก็คุยกับนักสังคมท่าทางใจดี
แต่ก็จำไม่ได้แระว่าคุยอะไรบ้าง
เหมือนจะสรุปออกมาได้ว่าเครียดเรื่องทำรายงาน
เราก็เดาๆ เอาว่าคงไม่มีไรมาก แค่กินยาแล้วหาย
เพราะหมอก็บอกแค่นั้น บอกว่ายากินแล้วสมองไบร์ท
กินแล้วมีสมาธิมากขึ้น ทำรายงานจบแน่นอน
แต่ก็เป็นเพราะเรารับไปทำงานซะ
ก็งานมันดี ชิว และเกี่ยวกับโยคะ
สำคัญเลย ได้เรียนโยคะกับเจ้าของสตูดิโอ
แบบว่าถึงจะฟังภาษาไม่เก่ง
แต่ยอมเลย อยากเรียนมาก ชอบมาก
ดีมากจริงๆ ชอบงานมากด้วย
แต่เราความดันต่ำมาก ผอมมาก เวียนหัวมาก
เวลาไปทำงานต้องเดินขึ้นบันไดข้ามทางสูงๆ
มึนหัวมาก ทนไม่ไหว ผลข้างเคียงอื่นๆ อีก
กินชาแล้วตัวสั่น ปัสสาวะบ่อย เบื่ออาหาร
แล้วคุยเรื่องการรักษากับผจก.
เค้าก็ไม่ว่าอะไร เจ้าของสตูก็รับทราบ
เค้ารู้ว่าวิชาที่เราเรียนก็น่าปวดหัว
อันหนึ่งอย่างหนึ่ง อีกอันอีกอย่างหนึ่ง
เจ้าของก็ใจดีมากให้เราได้เรียนโยคะ
แฟนเจ้าของก็ใจดี คนที่มาเรียนท่าทางเป็นมิตร
เป็นสังคมเล็กๆ ที่อบอุ่น เหมือนเป็นญาติมิตร
เราคิดเอาเองว่าควรหยุดยาแล้วฝึกโยคะเอา
เรื่องเรียนก็คิดว่า เดี๋ยวพออาการทางกายดีขึ้น
เราก็จะหาเวลาไปนั่งทำงานตามร้านอาหารสงบๆ
อยู่ๆ เราก็ไม่พอใจในตัวเองมากๆ
คิดลบบ่อยขึ้น คือช่วงกินยา แทบจะไม่มีอาการนี้
เริ่มคิดว่าตัวเองเหมือนเป็นเครื่องจักร ไม่มีชีวิตชีวา
เริ่มคิดถึงการตาย การฆ่าตัวตาย แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ตอนหลังมารู้ว่าเป็นโยโย่เอฟเฟคของการหยุดยาตัวนี้
แล้วไม่ได้บอกจิตแพทย์ เห็นเขาว่าดูดีขึ้น
แล้วก็จบการรักษาลงตรงที่เราให้ข้อมูลเท็จไป
เพราะเราเพิ่งลาออกและพยายามฆ่าตัวตายมามาดๆ
แต่ไม่รู้จะพูดยังไงดี
หลังจากนั้นก็เหมือนเป็นฝันร้ายตามมาหลอกหลอน
ไม่มีชีวิตสงบสุขอีกต่อไป
แต่เราก็ยังมีชีวิต ยังมีแรงทำงาน ยังไม่บ้า
ถึงแม้ช่วงนี้จะขาดสติบ่อย
เครียดและรับตัวเองไม่ค่อยได้
ทรมานที่ปวดท้องแล้วทำไรไม่ไหว
นอนมากก็เครียด คิดแต่อะไรไม่ดี
อยากกินยานอนหลับเยอะๆ
ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย
ยายก็ร้องให้ช่วยด้วยๆ
เราก็ไม่รู้จะช่วยได้ยังไง
เราทำอะไรไม่ได้ดี
ถ้าไม่ดีแล้วจะทำทำไม
จะทำยังไงถึงจะดี
แต่ก็ไม่อยากจะทำ
แต่ก็ไม่ดีอยู่ดี
ไม่ดีจนคิดอะไรไม่ออก
ไม่ดีจนไม่อยากเขียน