I write อะไร
ฉันเขียน A LIFE
ฉันไร้อะไร
ฉันไลค์อะไลฟ์
ฉัน ฉัน ฉัน ไอ ไอ ไอ..
นี่มันบล็อกที่มีไว้เอื้ออัตตานี่หน่า
แต่ไม่ว่าจะที่ไหน ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เราเติบใหญ่ไปพร้อมกับอัตตา
และไม่รับรู้เลยว่าได้เติบโตขึ้นบ้างไหม
ถึงคำว่า 'เรา' ที่ชอบใช้จะมีความหมายกว้าง
บางครั้งก็เผลอลากเอาคนอื่นมารวบด้วย
แม้แต่มวลมนุษยชาติหรือสรรพสัตว์ทั้งปวง
เสมือนหนึ่งตัวตนหลอมรวมมาจากสรรพสิ่ง
เราตระหนักว่า ตัวเองนั้นอ่อนแอ และ
ต้องการที่จะหลอมรวมไปกับตัวตนที่เข้มแข็ง
และตระหนักว่าช่วงเวลาทุกข์ใจนั้นสำคัญ
ช่วงเวลาที่ได้ตระหนักถึงการทุกข์ร้อน
เห็นอาการป่วยอ่อนแอของชีวิต
เพื่อให้เห็นความสำคัญของความเข้มแข็ง
ทะเลาะเบาะแว้งกับตัวเอง
เพื่อให้กลับไปคืนดีกับสังคมที่หลบเร้นมา
อาจจะเป็นแบบนั้น หรืออาจจะไม่ใช่
ทั้งที่ชอบคาดเดาอนาคตในหลายๆ แบบ
แต่ก็จำเป็นต้องมีที่ว่างไว้ให้กับความเป็นจริง
แม้จะเว้นว่างไว้ แต่ก็อาจจะไม่ได้เติมมันลงไป
ทางเลือกที่มองเห็นและไม่เห็นเหล่านั้น
ในที่สุดแล้วจะเป็นประสบการณ์และบทเรียน
ตราบเท่าที่ยังมองหา ยังลืมตาดู
เฉกเช่นปัญหาและความเจ็บปวด
ความเจ็บปวดนั้นเป็นประสบการณ์ส่วนตัว
แม้ว่าในโลกนี้จะมีเครื่องมือบรรเทาเจ็บมากมาย
แม้ว่าโลกนี้จะมีหลักการให้พ้นทุกข์มากมาย
แต่ไม่มีสิ่งใดมาชี้วัดคุณภาพ-ปริมาณของทุกข์
ไม่มีเครื่องมือที่ทำให้เรารู้จักความเจ็บปวด
แต่ละคนรับรู้ความเจ็บปวดต่างกันออกไป
บางคนอาจเจ็บแม้เพียงเห็นเงาของมีด
บางคนอาจไม่เจ็บเลยแม้มีดแทงเข้าตัว
นอกจากนี้ยังสัมพันธ์กับความกลัว
น่าแปลกที่เมื่อกลัว เจ็บกว่าตอนที่ไม่กลัว
ทั้งที่รูปแบบของแผลเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อเราเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์จากความกลัวแล้ว
ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลและเจ็บปวดในระดับหนึ่ง
บางทีที่รู้สึกได้ว่าความกลัวและความเจ็บปวด
มากระจุกรวมอยู่ที่ท้อง หมุนเกลียวเป็นห้วงน้ำวน
และยังทำให้ลำไส้ร้องโครกครากในเวลาต่อมา
รู้ทั้งรู้ แต่ก็ยังใช้ชีวิตอย่างอับจนหนทาง
เหมือนมีกุญแจหลายดอกที่จะไขออกจากปัญหา
แต่มือกลับกุดลง หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงฉับพลัน
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีขา มีแขน มีอื่นๆ ที่ยังดีอยู่
แค่เพียงยอมรับไม่ได้ ก็เลยไม่ก้าวเดิน
ยกศัตรูขึ้นมาเป็นข้ออ้างว่า ไม่ควรต่อต้าน
ไม่ควรสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น
เหมือนจะทำใจยอมรับ แต่ที่จริงก็คือยอมแพ้
ยอมที่จะถูกปลดออกจากการแข่งขัน
แม้จะเป็นการแข่งขันที่เดิมพันด้วยชีวิตก็ตาม
ความพยายามที่ไร้เป้าหมายย่อมไร้ประโยชน์
เราไร้ค่า เมื่อไร้เป้าหมายที่จะทำอะไร
ไร้เป้าหมาย เพราะไร้สิ่งสำคัญในชีวิต
ชีวิตก็เลยเหมือนจะไร้ชีวิต
หาความเป็นชีวิตไม่ได้
แต่อาจจะมีความหมายอะไรเบื้องหลัง
เช่น พบชีวิตจากการไร้ชีวิต
หรือพบเป้าหมานจากการไร้เป้าหมาย
พบสิ่งสำคัญจากการไร้สิ่งสำคัญ
พบความพยายามจากการไร้ความพยายาม
ในเมื่อสองสิ่งตรงข้ามกลายเป็นหนึ่งเดียวได้
ตัวเรากับจักรวาลก็อาจจะเป็นได้เช่นกัน
ถ้าสรรพสิ่งเคลื่อนไปตามแรงโน้มถ่วง
กฏแห่งกรรม หรือกฏการเกิดซึ่งเหตุและผล
ก็ต้องมีกฏอะไรบางอย่างที่คุมเราอยู่
เมื่อเราค้นพบและยอมรับกฏนั้น
ชีวิตเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง
ที่อยู่ภายใต้กฏเดียวกันนั้นเอง
(ถึงจะยังสับสนว่า กฏ สะกดด้วย ฎ หรือ ฏ)
เพื่อที่จะรับรู้ถึงกฏนั้น
เราจำเป็นจะต้องเปิดประสาทรับรู้ทั้งหมด
หู ตา จมูก ปาก กาย ใจ วิญญาณ
เท่าที่จะทำได้ละนะ
อะไรที่ยากเกินไป ต้องใช้เครื่องมือเยอะๆ
ยิ่งควบคุมและใช้เครื่องมือได้คล่อง ยิ่งได้เปรียบ
เอาหูไปกระแทกใส่ฝูงชนให้เจ็บกันไปข้างหนึ่ง
ก็จริงที่เครื่องมืออาจนำความเจ็บปวดมาสู่
ถ้าเรายึดมั่นในความเป็นเครื่องมือทำร้ายแล้ว
มันก็จะนำไปสู่การทำร้ายขึ้นมาได้จริงๆ
เลนส์กล้องที่สกปรกก็ถ่ายติดภาพเลอะๆได้
หมั่นตรวจสอบไม่ให้เครื่องมือบกพร่อง
ในหน้าที่ดั้งเดิมของตัวมันเองก็ละนะ
ถึงจะลืมไปแล้วว่าโทรศัพท์เอาไว้ใช้โทรก็เถอะ
จูบ.. //จีบ จบ จับ จิบ เจ็บ //..จ๊าบ
จบแบบแปลกๆ แฮะ
แค่เติมสระเพิ่มไปไม่กี่ตัวเอง