Monday, January 04, 2016

เรื่องเล่าของเด็กกำพร้าคนหนึ่ง

การที่เราไม่มีพ่อไม่มีแม่ มันก็ทำให้เราดูไม่ปกติ
การที่เราไม่นึกถึงบุญคุณพ่อแม่ ทำให้มีชีวิตที่น่าเศร้า
ที่จริง อาจจะไม่เกี่ยว แต่เราชอบเชื่อมโยงไง

ไม่ใช่ว่าเราชอบสงสัยอะไรที่คนอื่นไม่สงสัย
แต่เป็นว่าเราคิดเพ้อเจ้อแบบที่คนอื่นไม่ทำกัน
อย่างเช่นว่า เราเกิดมาได้ยังไง ก็ไม่ได้สงสัยอะไรนัก
แต่คิดเพ้อเจ้อไปต่างๆ นานา เท่าที่ความคิดจะไปถึง
เช่น คิดว่าเราเป็นวิญญาณที่เข้ามาสิงร่างของคนที่
เพิ่งจะตายไป ก็เลยกลายเป็นเราในตอนนี้

เพราะว่าไม่ได้รับรู้ถึงความรักจากพ่อแม่
ก็เลยคิดเองไปว่าพ่อแม่ไม่มีอยู่จริง
ทั้งมองไม่เห็น ทั้งสัมผัสไม่ได้ ทั้งไม่ได้รับรู้อะไร
ทำให้รู้สึกเหมือนในชีวิตนี้ ตลอดมา ไม่มีพ่อแม่
ในตอนนี้ไม่มีพ่อแม่ ที่ผ่านมาก็แทบไม่มีความทรงจำ
ไม่ว่ายังไง ก็เหมือนว่าทั้งสองไม่มีอยู่จริง
เปรียบได้กับสาวกที่สงสัยการมีอยู่ของพระเจ้า หรือ
ผู้ใต้บังคับบัญชาสงสัยในอำนาจของผู้อยู่เหนือกว่า

คนที่สงสัยในอำนาจของผู้เป็นใหญ่กว่า
มักจะเชื่อตัวเองเป็นสำคัญและมีความกบฏเล็กๆ
นอกจากจะต่อต้านคนอื่นแล้ว
ภายในหัวก็ทำสงครามสู้รบกันเองซะด้วย
แต่ก็มักจะถูกมองว่าเป็นคนรักสงบ
ทั้งที่ในหัวมันตีกันซะกระจุยเลย

ทำไมถึงได้มีแต่เรื่องที่อยากเขียน
จนอึดอัด ลำบากใจที่จะพลาดเรื่องใดไปเลย
ไม่ได้ล่ะ ไฟมันลุกโชนจนมอดไหม้จิตวิญญาณล่ะ
ถึงจะเขียนได้แค่ทีละเรื่องก็เถอะ
แต่ถ้าสมาธิไม่ดี ก็จับมาผสมกันจนเละได้นะ
ยากก็ตรงจุดๆ นี้ ค่อยๆ พยายามไปละกัน
ใจร้อนเกินไปก็เห็นจะสร้างความเสียหายมากกว่า
ใจเย็นเกินไปก็เห็นจะไม่ได้ลงมือทำสักทีละนะ

แต่สุขภาพร่างกายแย่ขนาดนี้ เพลียสมองจริงๆ
แค่หายใจยังยากเลย รู้สึกเหมือนจะตายไปจริงๆ
คิดถึงความตายขึ้นมาจริงๆ เหมือนจะไปแล้วจริงๆ
หายใจไม่ออก หายใจไม่ทัน เหมือนอากาศกำลัง
จะหมดไป จะต้องตายในไม่ช้าแน่

แต่ดีที่ตั้งสติไว้ได้ เลยค่อยผ่อนลมหายใจ
พยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างที่เคยเรียนมา
ถ้าจะตายก็ต้องตาย แต่ก็คิดอยู่ลึกๆ ว่ายังตายไม่ได้
พอนึกย้อนกลับไปแล้ว ก็เหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่
พยายามที่จะหายใจให้ช้าๆ ลึกๆ ขณะที่ร่างกายก็
ขยับได้ยากเหลือเกินกว่าจะเดินไปถึงห้อง
แทบขาดใจ แล้วก็รีบตรงไปหายาพ่นทันที

ไม่อยากเชื่อว่าจะรอดตายมาได้จริงๆ
ทั้งที่อยากนอนนานๆ แท้ๆ ยายก็มาปลุก
ให้ไปทำงาน บอกว่าเรายังใหม่ หยุดบ่อยไม่ได้
เมื่อวานก็หยุด เพราะไม่สบาย แต่ก็ยังไม่หายดี
วันนี้ที่ทำงานกินเลี้ยง ก็กินได้ไม่มาก เพราะไม่สบาย

ถ้าทั้งร่างกายและจิตใจป่วย คนๆหนึ่งก็เหมือนจะ
ไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงๆ ไม่ได้มีชีวิตอยู่จริงๆ
ถ้าเราเชื่อแบบนั้นก็ไม่แปลกอะไรที่จะไม่เห็นคนอื่น
แม้แต่ตัวเองก็ยังมองไม่เห็นเลยนี่หน่า
กว่าที่จะผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาได้ก็เหนื่อยน่าดู
แต่เชื่อเถอะว่า เราผ่านมันมาได้แน่นอน

เพราะร่องรอยของพ่อแม่ก็ยังอยู่ในตัวเรา
อยู่ในจิตวิญญาณ ส่วนลึกที่ไม่อาจสัมผัสได้ด้วย
สิ่งอื่นใด นอกจากใจของเราเท่านั้น