ค่อนข้างมั่นใจนะว่าตัวเองมองโลกจริงอย่างไม่ค่อยเป็นจริงเท่าไหร่
พูดคุยกับคนที่อยู่ในโลกจริงน้อยกว่าคนที่อยู่ในโลกสมมติ
เรียกมันว่า โลกสมมติละกัน ไม่รู้จะตั้งชื่ออะไรแระ ยากจัง
บางทีอยากคุยกับคนในโลกจริง ดันคุยในโลกสมมติซะยาวเหยียด
กลับมาที่โลกจริง อ้าว คุยไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรจะคุย เฮ้ย บ้าแระ
ท่าทางว่าเราจะเป็นคนเหงายาก เพราะเราคุยกับตัวเองมากไป
และเราก็ออกจะสับสนโลกจริงกับโลกสมมติมากไปหน่อย
เริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองพูดกับคนในโลกจริงน้อยมาก
ก็ตอนที่ทุกคนในห้องเรียนลงมติว่า เราเงียบที่สุดดดด
เราก็ไม่รู้ตัวเลยนะ เพราะคิดอยู่ตลอดเวลา นึกว่าตัวเองพูดด้วย
เหมือนบางทีก็แค่มอง แค่ฟัง แล้วก็คิดในใจโดยไม่พูดอะไรจนเป็นปกติ
การคิดเป็นเสียงในใจมันทำให้เรารู้สึกว่าเราได้พูดออกไปแล้ว
ถึงจะมีแค่เราที่ได้ยินเสียงของตัวเองคนเดียวก็ตาม
บางทีก็รำคาญตัวเอง เพราะยิ่งพูดน้อย ก็ยิ่งคิดมาก
ยิ่งคิดมาก เสียงในใจมันก็ดังมาก จนน่ารำคาญจริงๆ รำคาญตัวเองจริงๆ
การเขียนช่วยให้เราเรียบเรียงความคิดได้ดีขึ้นมาบ้าง
เพราะเรามักจะคิดแบบกระจัดกระจาย อะไรๆ มันผุดขึ้นมาแบบไม่รู้จังหวะ
ทำให้เวลาพูดแล้วเรียบเรียงคำออกมาสับสนมาก
เมื่อก่อนน้าไม่ชอบฟังเราพูดเลย ตั้งใจจะเล่าอะไรให้ฟังแท้ๆ
รู้สึกว่าไม่อยากพูดเลย ก็ไม่มีใครอยากฟังนี่หน่า
แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะเชื่อที่เราพูดซะทุกอย่างเลย
เพราะว่าเราแปลงร่างเป็นนักวิชาการและก็พูดรู้เรื่องมากขึ้น
หรือไม่ก็คงเพราะรู้มาจากอาจารย์ว่าเราเป็นโรคซึมเศร้า
แต่มันก็แปลกๆ อยู่ตรงที่เราคุยกับอาจารย์ยังไงไม่รู้
คุยไปคุยมาไม่ใช่โรคซึมเศร้ากลายเป็นไบโพล่าร์ซะงั้น
จะบอกว่าอาจารย์ฟังผิดหรือเข้าใจผิด ก็คงไม่ใช่หรอก
เราคงพูดผิด พูดไม่เคลียร์เองมากกว่า แย่ชะมัด
เกลียดการพูดชะมัด ยิ่งพูดก็ยิ่งผิดพลาดมากเท่านั้น
พอไม่พูดก็กลายเป็นเข้าใจผิด เป็นเรื่องอีก โอ้ยยยเยอะแยะ
แค่การพูดผิด หรือพูดให้เข้าใจผิด ก็ทำให้รู้สึกแย่ได้ขนาดนี้
เขียนไปเขียนมาก็กลายเป็นระบายเรื่องนี้ไปได้ไง
เรามันไม่มีสาระอะไรหรอก ให้ตายยังไงก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ TT